Tuesday, September 16, 2008

พระพุทธศาสนา กับ วิทยาศาสตร์

เรื่อง : พระพุทธศาสนา กับ วิทยาศาสตร์
สาระ : ศาสนา ศิลธรรม จริยธรรม
กลุ่มสาระฯ : สังคมศึกษา
ข้อมูลระดับ : มัธยมศึกษา


มีบางคนตั้งข้อสังเกตุว่า??
พระพุทธศาสนา มีลักษณะคล้ายกับวิทยาศาสตร์
เช่น สนใจศึกษาธรรมชาติยึดหลักของเหตุผล และท้าทายต่อการพิสูจน์ แต่หากจะพิจรณาให้รอบคอบ ก็น่าจะกล่าวในเชิงกลับกันมากกว่า วิทยาศาสตร์มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เพิ่งอุบัติขึ้นมาในโลกเพียงไม่กี่ร้อยปี ในขณะที่พระพุทธศาสนานั้นเกิดมาเกือบ 2600 ปีแล้ว หลักการของพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร จะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป โดยจะเริ่มต้นที่หลักการของวิทยาศาสตร์ก่อน

หลักการของวิทยาศาสตร์
ก่อนจะกล่าวถึงกลักการของวิทยาศาสตร์ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันในเรื่อง ความหมายของ วิทยาศาสตร์ ว่าคลอบคลุมประเด็นใดบ้าง

คำว่า วิทยาศาสตร์ เป็นคำไทย แปลมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Science ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า หรือจากภาษากรีกว่า แปลว่า รู้ หรือความรู้ ความหมายอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน คือหมายถึง ความรู้เรื่องธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาล ตั้งแต่สิ่งที่เล็กมากจนตามองไม่เห็น เช่น เชื้อโรคไปจนกระทั่งสิ่งที่ใหญ่มาก เช่น โลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ตลอดจนจักรวาล ซึ่งประกอบด้วยดวงดาวทั้งหมด ธรรมชาติ ยังคลอบคลุมทั้งสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย ซึ่งเป็นวัตถุเรียกกันว่า สสาร และที่มีสภาพเป็น พลังงาน เช่นความร้อน แสงสว่าง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เช่นพืช สัตว์ เชื้อรา ไวรัส รามทั้งตัวมนุษย์เอง



วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แห่ง วัตถุ เพราะแบ่งธรรมชาติออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรื่อสิ่งไม่มีชีวิต กล่าวคือ ทุกสรรพสิ่งย่อมประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ
1. องค์ประกอบที่เป็นสสาร คือส่านที่เป็นตัวตน ถ้ามีขนาดใหญ่พอก็จะจับตัวได้ กินเนื้อที่ มีมวล มีน้ำหนัก
2. องค์ประกอบที่เป็นพลังงาน คือส่วนที่ไม่อาจจะจับต้องได้ สามารถแปรเปลี่ยนได้ โดยอาจเปลี่ยนเป็น งาน ได้ เช่น พลังงานไฟฟ้า สามารถผ่านเข้าสู่มอเตอร์ขับเคลื่อนรถยนต์ได้

จากองค์ประกอบทั้ง 2 ประกอบนี้วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายการเกิดปรากฎการณ์ต่างๆได้อย่างกว้างขวาง เช่นการที่อากาศร้อนอบอ้าวก่อนฝนตก เกิดจากการที่ก้อนเมฆ ซึ่งประกอบด้วยละอองน้ำ ซึ่งเป็นสสาร คายความร้อนแฝง ซึ่งเป็นพลังงาน ออกมา หรือการที่แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงาน ส่องกระทบใบไม้ ซึ่งมีสารสีเขียวเรียกว่า คลอโรฟิล จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น โดยใบไม้ จะสามารถดูดเอาก๊าซคาบอนไดอ๊อกไซด์ จากอากาศมารวมกับน้ำ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นก๊าซอ๊อกซิเจนและแป้งซึ่งพืชใช้เป็นอาหารเรียกว่าสังเคราะห์แสง แนวความคิดเกี่ยวกับสสาร และพลังงานสามารถอธิบายปรากฎการณ์ใกล้ตัวเช่นการงอกของเมล็ดถั่ว ไปจนกระทั่งประสบการณ์ไกลตัว เช่นการเคลื่อนที่ของดวงดาวในจักรวาลได้

อย่างไรก็ดียังมีปรากฎการณ์อีกเป็นอันมากที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและจิตใจของมนุษย์ เช่นการเวียนว่ายตาย เกิด การระลึกชาติได้ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การติดต่อกันโดยใช้พลังจิต การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ เป็นต้น

แต่ปรากฎการณ์เหล่านี้สามารถอธิบายได้ โดยอาศัยหลักการของพระพุทธศาสนา ซึ่งได้กล่าวถึงในตอนต่อไป

การศึกษาธรรมชาติ เพื่อรู้เรียกว่า วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1. วิทยาศาสตร์กายภาพ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการศึกษาสิ่งที่ไม่มีชีวิต ได้แก่วิชาฟิสิกส์ เคมี ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา และอุทกวิกยาเป็นต้น
2. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการศึกศาสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มพฤกษศาสตร์ ซึ่งศึกษาต้นไม้เละพืชทุกชนิด และกลุ่มสัตวศาสตร์ ซึ่งศึกษาสัตว์ทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวไปจนกระทั่งมนุษย์ ทั้งสองกลุ่มนี้แตกสาขาย่อยออกไปอีกมากมาย

นอกจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแล้ว ยังมีวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นอีก 3 ประเภทคิอ
1. วิทยาศาสตร์สังคม เป็นการศึกษาธรรมชาติ ของมนุษย์ในสังคมซึ่งประกอบด้วยบุคคลตั้งเต่ 2 คนขึ้นไป ประกอบด้วยวิทยาการสาขาต่างๆ เช่นสังคมวิทยา มนุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ อาชญาวิทยา ภาษาศาสตร์ จิตวิทยา และจริยศาสตร์ เป็นต้น
2. วิทยาศาสตร์อัตภาพ เป็นการศึกษาธรรมชาติของจิตมนุษย์และปรากฎการณ์ทางจิตต่างๆเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นไม่นาน ได้แก่ วิชาจิตวิทยา ปรจิตวิทยา เป็นต้น
3. วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เป็นการประยุกต์ความรุ้จากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมาทำประโยชน์ให้เกิดแก่มนุษย์ในการดำรงชีวิต เช่น วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ เภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ เป็นต้น วิทยาศาสตร์ประยุกต์ มีชื่อเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เทคโนโลยี

แต่เทคโนโลยีมิใช่วิทยาศาสตร์ประยุกต์ก็มี เช่น เทคโนโลยีการฝังเข็ม หรือการปักเข็มรักษาโรค ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ของจีนโบราณ อายุหลายพันปี เป็นสิ่งที่มิได้มาจากการค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์แต่ประการใดเพราะวิทยาศาสตร์มีอายุเพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น อย่างไรก็ดีจากความรุ้ทางวิทยาศาสตร์ เละการประยุกต์ความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์ มนุษยชาติก็ได้พัฒนาเจริญก้าวหน้าอย่างมากในเชิงวัตถุ เพียงไม่กี่ร้อยปี จนกระทั่งเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีระดับสูง ดังที่เป็นอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้

การที่วิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาตัวเองและมีผลต่อมนุษยศาสตร์ที่รวดเร็ว เพราะวิทยาศาสตร์มีหลักการที่สำคัญอันเป็นเครื่องมือช่วยให้วิทยาศาสตร์มีความแข็งแกร่งและมั่นคงคือ
1. วิทยาศาสตร์มีความเชื่อพื้นฐานว่า ปรากฎการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาตินั้นมีกฎเกณฑ์หรือระเบียบ ไม่เกิดขึ้นแบบลักลั่น เกิดขึ้นเพราะมีสาเหตุ ซึ่งอาจค้นพบได้หากผู้ค้นมีความสามารถเฉลียวฉลาดพอ ในการค้นหาความจริงเหล่านี้ อาจใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้วิธีการดังกล่าว คือการใช้หลักของเหตุผล เช่น การสังเกตุ การเปรียบเทียบ การจำแนก การวิเคราะห์ การหาข้อมูล การทดลอง การพิสูจน์ เป็นต้น จากความเชื่อนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงค้นพบกฎต่างๆทางวิทยาศาสตร์มากมาย เช่นกฎความโน้มถ่วงกฎทรงมวลของสสาร กฎการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน


2. วิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่า ความจริง อาจค้นพบได้หรือทราบได้จากการสังเกตโดยตรง หรือจากการทดลอง แต่ไม่นิยม การหาความจริงจากแหล่งความรุ้ที่มีการยอมรับโดยฐานะ เช่น เพราะผู้ใหญ่แนะนำ เพราะมีการระบุไว้ในคำภีร์โบราณ เพราะผู้พูดเป็นบุคคลสำคัญ

3. นักวิทยาศาสตร์ยึดถือว่าปรากฎการณ์ที่สามารถสังเกตุได้เท่านั้นจึงอยู่ใน อาณาจักรวิทยาศาสตร์ ปรากฎการณ์ใดที่ยังไม่อาจจะสังเกตุหรือวัดได้ ดังนั้น ปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณซึ่งเป้นเรื่องที่ยังตรวจสอบสังเกตหรือวัดไม่ได้ จึงยังไม่อยุ่ในวิสัยที่นักวิทยาศาสตร์จะศึกษา

4. การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีการยอมรับสากล กล่าวคือ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ทดลอง ถ้าสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆเหมือนกัน ผลการทดลองจะต้องเป็นแบเดียวกันเสมอ ไม่ขึ้นอยู่ตัวผู้ทดลอง จากหลัการข้อนี้นักวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ผลงานของนักวิทยาศาสตร์อื่นด้วยการศึกษาหรือทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าได้ผลตรงกันหมด การค้นพบครั้งนั้นก็จะได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์

5. วิทยาศาสตร์อาศัย ทฤษฎี เป็นเครื่องมือในการอธิบาย การเกิดปรากฎการณ์ต่างๆหรืออธิบายกฎ และนอกจากจพใช้เป็นคำอธิบายแล้ว ทฤษฎียังสามารถใช้พยากรณ์หรือทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นมนอนาคตอีกด้วย ตัวอย่างเช่น กฎแห่งความโน้มถ่วง หรือการดึงดูดกันระหว่างเทห์วัตถุนำไปสู่การสร้างทฤษฎีสัมพันธภาพอันเลื่องชื่อของอัลเบอร์ต ไอน์สไตน์ สามารถอธิบายปรากฎการณ์ที่แสงจากดวงดาว ที่ห่างไกลจะมีแนวโน้มไปทางด้านสีแดงได้ แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สามารถ ล้มได้ หากมีการพบว่าปรากฎการณ์หรือหลักฐานที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแนวความคิด เช่น เมื่อ 100 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎี อีเธอร์ คือเชื่อว่าในอวกาศเต็มไปด้วยสารชนิดหนึ่งเรียกว่า อีเธอร์ แต่ต่อมาต้องล้มเลิกทฤษฎีนี้เมื่อมีการทดลองคัดค้าน สำเร็จ โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อไมเกิลสัน กับมอร์เลย์ เช่นเดียวกับทฤษฎี ฟลอจิสตัน ซึ่งล้มไปคือนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีสิ่งหนึ่ง เรียกว่า ฟลอจิสตัน เป็นตัวทำให้วัถถุลุกใหม้ เต่เมื่อมีการศึกษาเรื่องการลุกไหม้ หรือสันดาป โดยรอบคอบ ก็เกิดทฤษฎีอ๊อกซิเดชัน ขึ้นมาแทนที่ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้

*****โดยอาศัยหลักการสำคัญทั้ง 5 ประการข้างต้น มนษย์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว โยมีจุดประสงค์สำคัญ คือการเรียนรู้ธรรมชาติ และนำความรู้มาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์เพื่อสนองความต้องการที่มีอยู่มากมาย ไม่สิ้นสุดและนับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆไปเพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีความทะเยอทะยานอยาก เมื่อได้สิ่งนั้นแล้วก็จะต้องการสิ่งนั้น และสิ่งอื่นๆเพิ่มขึ้นตลอดไป*****

หลักการของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาคือ คำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ ซึ่งมีหลักการสำคัญ 3 ประการคือ
1. ให้ละเว้นการกระทำความชั่ว
2.ให้ตั้งมั่นอยู่ในการกระทำแต่ความดี
3.ให้ชำระจิตของตนเองให้ผ่องใสอยู่เสมอ



หลักการสำคัญทั้งสามประการนี้จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับร่างกายจิตใจทั้งสิ้น ซึ่งเป็นไปตามความที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

“เราย่อมบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก ความดับแห่งโลก และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก ในร่างกายอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญา มีใจครองนี้ “

จากข้อความนี้ จะเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงย่อโลกทั้งโลกให้มาอยู่ในที่ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ การปฏิบัติให้พ้นทุกข์ก็อยู่ที่การปฏิบัติทางกายและจิตใจของมนุษย์ด้วย กายและใจที่สัมพันธ์กัน หากกายไม่สบายใจก็จะมีผลต่อจิตใจ ในทางตรงกันข้ามหากใจไม่สบายก็จะมีผลกระทบต่อร่างกายด้วย แต่พระพุทธองค์ทรงเน้นความสำคัญของจิตใจเหนือร่างกายดังพุทธภาษิตว่า

“จิต เตน นียติโลโก แปลความว่า โลกอันจิตย่อมนำไปคือมีจิตเป็นผู้นำ “

“มโนปุพพงคมา ธมมา” แปลความว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ดังสำนวนที่ใช้กันบ่อยว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ซึ่งเน้นความสำคัญที่จิตใจ

มรรคมีองค์ 8 คือทางแห่งการดับทุกข์นั้น เมื่อแรกเริ่มก็คือสัมมาทิฎฐิ หรือความเห็นชอบ ก็เป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่ร่างกาย ตามด้วยสัมมาสังกัปปะ หรือดำริชอบ ก็เป็นเรื่องของจิตใจ เช่นกัน และสองทางสุดท้าย คือ สัมมาสติ หรือระลึกชอบ กับสัมมาสมาธิ หรือตั้งใจชอบ ก็เป็นเรื่องของจิตใจทั้งสิ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์

ในแง่ของประโยชน์ พระพุทธศาสนา มุ่งหมายให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ 3 ประการคือ
ประโยชน์ปัจจุบันได้แก่ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นในการดำรงตัวอยู่ในทางโลก ประโยชน์อนาคต คือ การมีหลักศีลธรรมประจำใจ ช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปโดยราบรื่น มีอนาคตอันแจ่มใสและประโยชน์สูงสุด หรือประโยชน์อย่างยิ่ง คือสามารถระงับเหตุแห่งทุกข์ คือ กิลเลสตัณหาต่างๆ ได้โดยเด็ดขาด จึงพ้นจากทุกข์โดยสมบูรณ์หรือ วิมุติหรือ ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆ

แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเน้นในเรื่องจิตใจ เต่ก็มิได้ละเลยในเรื่องวัตถุเสียทีเดียว พระพุทธเจ้าเคยตรัสเกี่ยวกับ ปรมาณู หรือส่วนที่เล็กที่สุดของสสารในแง่ของวิทยาศาสตร์ไว้ แต่ทรงใช้วิธีเปรียบเทียนเพราะมิได้มีเครื่องมือวัดละเอียด ซึ่งเมื่อนำมาคิดคำนวณแล้ว ปรากฎว่าตรงกันกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้จากการทดลองอย่างน่าอัศจรรย์ทรงเปรียบเทียบว่า
1 ธัญญามาตร (ขนาดเล็กของเมล็ดข้าว)ประกอบด้วย 7 อูกา (ศรีษะของตัวเล็น)
1 อูกา ประกอบด้วย 7 สิกขา (รอยขีดเล็กๆ)
1 สิกขาประกอบด้วย 37 รถเรณู (ละอองเกษรดอกไม้)
1 รถเรณู ประกอบด้วย 36 ตัชชารี (ละอองรังสีมในแสงแดด)
1 ตัชชารี ประกอบด้วย 36 อนู (อนุภาคขนาดเล็ก)
1 อณู ประกอบด้วย 36 ปรมาณู
1 ปรมาณู แบ่งแยกไม่ได้อีก เพราะหากแยกต่อไปจะหมดสภาพของสารนั้น
หากประมาณว่าเมล็ดข้าว 1 เมล็ด มีความยาวประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร เมื่อคำนวนดู จะพบว่าปรมาณูมีขนาดใกล้เคียงกันกับปรมาณูที่นักวิทยาสาสตร์ค้นพบอย่างน่าอัศจรรย์



ข้อสังเกต คือ พระพุทธองค์มิได้ทรงค้นพบโดยวิธีการทดลองแบบวิทยาศาสตร์ แต่ทรงทราบโดยการหยั่งรู้ด้วยพระญาณ ซึ่งเป็นวิถีทางของจิตที่บริสุทธิ์ สามารถทราบสิ่งที่เหนือธรรมดาได้ และสิ่งที่ทรงทราบโดยวิธีนี้ก็คือ “ความจริง” ที่ท้าทายต่อการพิสูจน์ เช่นเดียวกับเรื่องสำคัญคือ “อริยสัจ 4 ” ซึ่งเป็นการค้นพบที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั่นเอง ย่อมท้าทายต่อการพิสูจน์ได้ทุกเมื่อ ข้อแตกต่างระหว่างหลักการของพระพุทธศาสนากับหลักการของวิทยาศาสตร์คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้นั้นเป็นความจริงที่เที่ยงแท้ไม่แปรเปลี่ยน (อกาลิโก) แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นอาจล้มได้ แปรเปลี่ยนได้หากมีการค้นพบใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิม

โดยสรุป พระพุทธศาสนาเน้นที่จิตใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดทุกข์ และการแก้ทุกข์ ให้คนพ้นทุกข์ เจตนาจึงต่างกับวิทยาศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับความรู้ต่าง ๆ และการนำความรู้มาใช้แก้ปัญหาของมนุษย์ แต่ไม่อาจทำให้คนพ้นทุกข์ได้ เพราะไม่มีแนวทางขจัดสาเหตุที่แท้จริงแห่งทุกข์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือที่สนองความต้องการ ความโลภ และตัณหา อันไม่มีขอบเขตของมนุษย์จึงต้องสนองกันเรื่อยไป ส่วนพระพุทธศาสนามุ่งลดที่เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา และกิเลส เมื่อลดความต้องการลงได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรนหาอะไรมาสนองความต้องการนั้นอีกจึงเป็นวิธีดับทุกข์ที่ตรงเป้าหมาย

การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์นั้น มีความสอดคล้องกันเป็นอันมากจนมีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ (Spiritual / Mental Science) และโดยเหตุที่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ก่อนวิทยาศาสตร์กว่า 2 พันปี จึงน่าจะกล่าวได้ว่าหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ไปสอดคล้องกับหลักการและวิธีการของพระพุทธศาสนามากกว่า ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีจุดเน้นเหมือนกัน คือ สอนมิให้คนงมงาย ควรนำสิ่งต่าง ๆ มาพิจารณาด้วยเหตุผล มีการทดสอบทดลอง ตรวจสอบ จนเกิดความแน่ใจและเชื่อด้วยตนเอง ด้วยปัญญาที่สั่งสมไว้ของตนเอง

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนมิให้คนเชื่ออะไรง่าย ๆ (กาลามสูตร ติกนิบาต อังคุตรนิกาย) หรือมีศรัทธาแบบตาบอด 10 ประการ คือ
1. อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
2. อย่าเชื่อโดยเข้าใจว่าเป็นของเก่าสืบ ๆ กันมา
3. อย่าเชื่อเพราะตื่นข่าว
4. อย่าเชื่อเพราะตำรากล่าวไว้
5. อย่าเชื่อโดยนึกเดา
6. อย่าเชื่อโดยการคาดคะเน
7. อย่าเชื่อโดยพิจารณาตามอาการ
8. อย่าเชื่อเพราะชอบใจว่าสอดคล้องกับความเชื่อเดิมหรือลัทธิของตน
9. อย่าเชื่อเพราะนับถือตัวผู้พูดว่าควรเชื่อได้
10. อย่าเชื่อเพราะผู้บอกเป็นครู อาจารย์ของตน
หลักการเหล่านี้ไม่แตกต่างกับหลักการของวิทยาศาสตร์ ซึ่งเน้นเรื่อง “วิกฤต วิจารณญาณ” คือ การพิจารณาสิ่งใดต้องรอบคอบและถี่ถ้วนมากที่สุด
แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หากนำมาเปรียบเทียบกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา จะเห็นว่ามีความสอดคล้องกันอย่างดี ดังเปรียบเทียบต่อไปนี้
(วิทยาศาสตร์)สรรพสิ่งในจักรวาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 องค์ประกอบ คือ
1. สสาร
2. พลังงาน
(พระพุทธศาสนา)สรรพสิ่งในจักรวาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 องค์ประกอบ คือ
1. รูป
2. นาม
(วิทยาศาสตร์)1. สสาร แบ่งเป็น 3 สถานะ
1.1 ของแข็ง
1.2 ของเหลว
1.3 ก๊าช
(พระพุทธศาสนา)1. รูปต่าง ๆ แบ่งออกได้เป็น “ธาตุ” หรือ “ธรรมชาติ” 4 ประเภท
1.1 ดิน
1.2 น้ำ
1.3 ลม
1.4 ไฟ
(วิทยาศาสตร์)2. พลังงาน เช่น ความร้อน… แสง เสียง ฯลฯ
(พระพุทธศาสนา)2. นามหรือ “จิต” หรือ “วิญญาณ” เป็น “ธาตุรู้” หรือธรรมชาติที่รู้ได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิต

จากข้อมูลเปรียบเทียบด้านบนจะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์อธิบาย “ธรรมชาติ” โดยมีแนวคิดว่ามี 2 องค์ประกอบ คือ สสารกับพลังงาน และใช้แนวคิดนี้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นส่วนมาก (กล่าวแล้วในตอน 1.1) แนวคิดดังกล่าวนี้สอดคล้องพอดีกับ “รูป” ในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วย สสารและพลังงาน

แต่พระพุทธศาสนายังมีองค์ประกอบตัวใหม่ซึ่งไม่มีในวิทยาศาสตร์ นั่นคือ องค์ประกอบที่เรียกว่า “นาม” หรือ “จิต” หรือ “มโน” หรือ “วิญญาณ” ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แตกต่างไปจากรูปนาม ประกอบด้วย
1. ความรู้สึก
2. ความจำ
3. ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ / สังเคราะห์
4. การรับรู้ทุกสิ่ง

พระพุทธศาสนาอธิบายว่า “ชีวิต” ย่อมประกอบด้วยรูป หรือส่วนที่เป็นร่างกายและนาม คือส่วนที่เป็นจิตใจซึ่งมีความสามารถ 4 ประการ ดังกล่าว และจากหลักการข้อนี้ พระพุทธศาสนาสามารถอธิบายได้ถึงสภาพการเกิดทุกข์ สาเหตุของการเกิดทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม ตลอดจนวิถีทางทำให้ทุกข์ลดลง จนกระทั่งดับไปในที่สุด สิ่งเหล่านี้วิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบ จึงถือได้ว่าพระพุทธศาสนาก้าวไกลกว่าวิทยาศาสตร์มากมายนักในการอธิบายธรรมชาติของชีวิต

ข้อแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนาที่น่าสังเกต ประการหนึ่ง คือ แนวความคิดเกี่ยวกับ “ปัญญา” ซึ่งพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. สูตปยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการได้รับฟัง ได้เห็น ได้ประสบมาด้วยตนเองจากประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น การได้รับทราบจากหนังสือ จากการบอกเล่าของครู จากการเห็นผู้อื่นทำ ฯลฯ
2. จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ วิจารณ์ต่าง ๆ เช่น การแก้ปัญหาโจทย์เลขคณิต การทดลองวิทยาศาสตร์ การค้นคว้าวิจัย ฯลฯ
3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการอบรมจิตของตนเองให้มีความสะอาด สงบ ก็จะเกิดความ “สว่าง” คือ ปัญญาชนิดนี้ขึ้น เป็นปัญญาที่ไม่จำเป็นต้องมาจากประสบการณ์หรือการนึกคิดพิจารณา เป็นปัญญาที่ผุดขึ้นมาเองในจิต จะได้คำตอบจากคำถามที่ตั้งขึ้น โดยไม่ต้องคิดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็คือ ตัวอย่างสูงสุดของปัญญาชนิดที่ 3 ซึ่งเรียกอีกนัยหนึ่งว่าปัญญาทาง “ธรรม” ส่วนปัญญา 2 ประเภทแรก เรียกว่า ปัญญาทาง “โลก”

จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ ปัญญาวิทยาศาสตร์ จะตรงกันกับปัญญา 2 ประเภทแรกของพระพุทธศาสนา การศึกษาค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะกระทำต่อเนื่องนาน ลึกซึ้ง หรือเข้มข้นมากเท่าใด ก็เกิดปัญญาเพียง 2 ประเภทแรกเท่านั้น จะไม่มีปัญญาประเภทที่ 3 เกิดขึ้นเลย หากต้องการปัญญาประเภทที่ 3 พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนบันไดไว้ 3 ขั้น คือ ให้ผู้นั้น
1. รักษาศีล คือ รักษากาย และวาจา ให้เรียบร้อยปกติ
2. เจริญสมาธิภาวนา ซึ่งประกอบด้วยสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน
3. เจริญปัญญา โดยอาศัยหลัก “โยนิโสมนสิการ” คิดแบบแยบคายหรือถูกวิธี เช่น คิดแบบสืบสาวไปหาเหตุปัจจัย คิดแบบแยกองค์ประกอบ คิดแบบหาคุณโทษแล้วพิจารณาทางเลือก เป็นต้น รวมเรียกว่า ไตรสิกขา หรือ การศึกษา 3 ขั้น

อาจสรุปได้ว่าทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความสอดคล้องกัน คือ
1. มีหลักการเหมือนกัน คือ มีการสังเกต บันทึก พิสูจน์ ทดลอง ใช้เหตุผลอย่างเต็มที่ ไม่เชื่องมงาย
2. เชื่อเหมือนกันว่าผลย่อมมาจากเหตุ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์มิได้เกิดจากการดลบันดาลของเทพเจ้า หากเกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคลผู้นั้นนั่นเอง เช่นเดียวกับกฎของแรงปฏิกิริยาจะเกิดเท่ากับแรงกิริยา บุคคลประสบผลของกรรมดีเพราะได้กระทำความดีไว้ก่อน เป็นต้น
3. ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความเห็นสอดคล้องกันในเรื่องวิวัฒนาการของชีวิตว่าชีวิตค่อย ๆ เปลี่ยนแปรรูป ใช้เวลานานแสนนาน (4 อัคคัญญสูตร ทีฆนิกาย) เริ่มวิวัฒนาการจากชีวิตทีไม่มีเพศ จนกระทั่งเกิดมีเครื่องหมายเพศชัดเจน จากสัตว์เซลล์เดียว เป็นหลายเซลล์ สัตว์มีกระดูกสันหลัง ครึ่งบกครึ่งน้ำ เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จนกระทั่งมนุษย์
4. ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความเห็นสอดคล้องกันในเรื่องของวิทยาศาสตร์กายภาพโดยเฉพาะสสารและพลังงาน ตลอดจนขนาดของปรมานู

ในด้านความแตกต่าง พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีแนวคิดไม่ตรงกัน คือ
1. พระพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติโดยเน้นเรื่องจิตใจ และให้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ส่วนวิทยาศาสตร์ศึกษาธรรมชาติหนักไปในทางวัตถุ เพื่อมาประยุกต์ความรู้ ใช้ประโยชน์ในทางโลกมิได้มีความคิดลึกซึ้งจะหนีทุกข์แต่ประการใด
2. คำสั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นสัจธรรม ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ส่วนความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์อาจแปรเปลี่ยนไปได้ หากมีเหตุผลหรือหลักฐานอื่นน่าเชื่อถือกว่า
3. พระพุทธองค์ทรงบรรลุปัญญาขั้นที่ 3 และปราศจากกิเลสตัณหาต่าง ๆ เพราะยังมิได้ชำระจิตให้สะอาด
4. แนวคิดในเรื่องจิตยังไม่มีในวิทยาศาสตร์ เหมือนพระพุทธศาสนาจึงไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์อีกหลายอย่างได้เหมือนพระพุทธศาสนา


ที่มา : สุดิพันธ์ ดอทเน็ต


http://www.aksorn.com/lib/libshow.asp?sid=613&sara=soc_01&level=S

วาทะความรัก

วาทะความรัก
(ดังตฤณ)

...


"คู่รักจะเอาใจใส่อีกฝ่าย ส่วนคู่เวรจะเอาแต่ใจตัวเอง"

...





"คู่เทียมเจอเมื่อไหร่ก็ได้

แต่คู่แท้ต้องเจอในจังหวะที่จะรักกันจริงเท่านั้น"

...





"ใจจริงไม่ได้เกิดจากความตั้งใจให้จริงเสมอไป

ถ้าคู่ยังไม่ใช่ ใจก็คงจริงยาก"

...





"รู้สึกว่าใช่ ไม่จำเป็นต้องใช่

โดยเฉพาะถ้าได้ความรู้สึกว่าใช่มาจากการเอาแต่มองด้านดีท่าเดียว"

...





"อำนาจที่ทำให้ลุ่มหลงส่งมาจากส่วนสกปรกตรงไหนของร่างกายก็ได้

แต่แรงบันดาลที่ทำให้รักจริงต้องมาจากกลางใจที่ใส่พอเท่านั้น"

...





"ความลุ่มหลงจะทำให้หน้าตาของเราโง่ลง

ส่วนการเห็นตามจริงจะทำให้หน้าตาฉลาดขึ้นเป็นคนละคน"

...





"คนเราตาบอดเพราะชอบทึกทักเอาเองว่าเห็นอะไรมา

ที่จะตาสว่างได้ก็เพราะยอมทบทวนดีๆ ว่ามีอะไรให้เห็นบ้าง"

...





"การจากกันบางครั้งดีกว่าอยู่กันไปเรื่อยๆ เพราะอาจเป็นทางเดียว

ที่ทำให้คุณค้นพบว่าเคยมีความรักอยู่ตรงนั้นขนาดไหน"

...





"สิ่งดีๆ ที่ผ่านไป อาจเปิดทางให้สิ่งดีกว่าที่กำลังจะผ่านเข้ามา"

...





"รักที่ตายได้คือรักแต่จะเอา

ส่วนรักอมตะคือรักการสละความเห็นแก่ตัว"

...



"เราอาจหลอกให้คนอื่นหลงรักได้ด้วยรูปภายนอก
แต่ไม่มีทางหลอกให้รักตัวเองได้เลย
ตราบเท่าที่รู้อยู่แก่ใจว่าภายในยังน่าเกลียดขนาดไหน"

...





"ความรักไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่ใจทั้งดวง เพราะหัวใจกว้างไม่ถึงคืบ

ขนะที่ความรักแผ่กว้างได้ขนาดครอบโลก"

...





"การเริ่มต้นของความรักที่ซับซ้อน อาจเหมือนปกหนังสือที่ดูดีหลอกตา

แต่เนื้อหาข้างในไม่ตรงกัน คุณจะงงเมื่อพยายามอ่าน

และปวดหัวจนไม่นึกอยากทนอ่านให้ถึงครึ่ง"

...







"ถ้าตัวอยู่ห่างแล้วยังรู้สึกอบอุ่นและไว้ใจกัน

ก็แปลว่าพวกคุณรักกันด้วยใจ ไม่ใช่หลงติดกันด้วยกาย"

...







"คนซื่ออาจพูดคำว่ารักได้ไม่เพราะ แต่ความรักของเขา

จะให้ความรู้สึกแสนดีกว่าการได้ยินคำว่ารักอันไพเราะร้อยเท่า"

...



"ถ้าดีใจเวลาเห็นใครเป็นสุข คุณอาจไม่จำเป็นต้องรักเขาเสมอไป

แต่ถ้าอ้างว่าคุณรักใครแล้วไม่ยินดีกับความสุขของเขา

แปลว่าคุณเห็นแก่ตัวและดีแต่พูดเท่านั้น"

...



"ความรักที่อภัยไม่ได้คือต้นทางของความเกลียด

ความเกลียดที่ถูกสละทิ้งได้คือต้นทางของความรัก"

...



"มีความสามารถในการผ่านรักร้าว
ดีกว่ามีความสามารถฝันถึงแต่รักแสนหวาน"

...



"คนที่เอาแต่คอยความรักจะไม่เจอความรักไปจนตาย

ส่วนคนที่เอาแต่สร้างความรักจะรู้จักความรักในสามวันเจ็ดวัน"

...



"อำนาจนัยน์ตาของคนที่รักคุณจริง

อาจทำให้คุณสงบลงได้ทั้งที่กำลังวุ่นวายสิ้นดี

แต่อำนาจนัยน์ตาของคนที่เอาแต่เรียกร้องให้คุณรัก

อาจทำให้คุณวุ่นวายสิ้นดีทั้งที่กำลังสงบอยู่แท้"

Saturday, September 13, 2008

Your Thai Condo Rights

Your Thai Condo Rights
Your Thai Condo Rights

Includes The Condominium Act B.E. 2522(1979)

  • A guide to how condo owners are entitled to be treated by management.
  • Real scams exposed.
  • The law section by section in English & Thai.
  • A must for every condo owner.

Many magazine and internet articles deal with laws that govern acquisition and ownership of condos - commercial interest ensures this - but few people seem to care what happens once a property has been bought. 'After-sales' service is much lacking and owners are often left high and dry when problems arise.

Your Thai Condo Rights gives a valuable insight into condominium living and will help owners deal with common [mis]management problems that will inevitably occur. Every condo owner should have a copy.

Blundering Around Isaan

Blundering Around Isaan
Blundering Around Isaan

By Peter Jaggs

In recent years Thailand has enjoyed a remarkable rise in the number of tourists coming to visit this fascinating and beautiful country. Thailand has been discovered, and hordes of travellers are now flocking to experience the diverse culture, friendly people and delightful beaches for themselves. Despite this rapid increase in tourism, there are still villages in the Northeast of the country where things have changed little for hundreds of years.

Join the author during his unexpected six-month sojourn in Northeast Thailand. Meet farmers, fishermen, spirit doctors and Thai boxers and share in his misadventures as he comes to terms with the warm community of a rural Isaan village. Sometimes hilarious, often touching, occasionally tragic - but never dull - this book takes the reader into the heart of the Northeast, and provides an insight into a traditional way of life and a culture that is fast disappearing.

How to Buy Land and Build a House in Thailand



How to Buy Land and Build a House in Thailad


How to Buy Land and Build a House in Thailand by Philip Bryce

Are How to Buy Land and Build a House in Thailandyou considering having your own house in Thailand?

A dream house that you can actually afford? This book contains essential information for anyone contemplating buying or leasing land and building a house in Thailand. It is meticulously researched and draws on export legal and construction information from Thailand, America, Europe and Australia. Concepts, techniques and instructions are explained in simple, clear, and easy to understand language.

How to Buy Land and Build a House in Thailand helps you...

  • protect your investment by learning about foreigner ownership and lease options, land titles, companies, contracts, taxes, permits and lawyers.

  • save money by following useful tips about transferring money to Thailand, delivery of building supplies, deposits and special order items, temporary housing for workers, and much more.

  • learn how to choose the best architect, builder and project manager for your needs.

  • find out what you can afford and visualize what you want before you pay anyone anything.

  • learn useful Thai, land and building words and phrases; avoid communication problems and enjoy your building experience.

  • follow essential checklists of important must check items every step of the way; eliminate the guess work from building project management.

  • build a house that is well made, structurally sound, nicely finished with no weird smells from the plumbing or unsafe electrical installations.

How to Buy Land and Build a House in Thailand follows the construction of the author's 220 square meter house in Ko Phangan, Thailand with over 100 photographs, 2D and 3D drawings and 700 English-Thai words and phrases. This book is your ultimate resource for "buying" land and building a house in Thailand.

Mai Pen Rai Means Never Mind by Carol Hollinger

Mai Pen Rai Means Never Mind by Carol Hollinger

An American Housewife's Love Affair with Thailand

Carol Hollinger was a housewife, mother and teacher, and Mai Pen Rai Means Never Mind is her humorous, often hilarious account of her experience in all those roles during her stay in Thailand, where her husband was stationed in the US foreign service.

A brilliant observer of customs, manners and cultural differences, she writes frankly and unsparingly of herself and her fellow Americans, and relates both the fun and frustration of communicating with the Thai people - without being coy or condescending. Although written over 30 years ago, Mai Pen Rai is as entertaining now as it was when first published, and remains equally as relevant - with its honest and lively anecdotes of this exotic country and its people, and the difficulties and delights foreigners have in adjusting to life in a completely new environment.

A classic and authentic book, not only for all foreign residents and visitors, but also for those who have never been to Thailand, and even for Thais themselves.

Wednesday, September 10, 2008

ประโยชน์และความสำคัญของ Blog

ฺBlog ในปัจจุบัน ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ส่วนใหญ่) ใช้งานง่าย ...โดยผู้เขียนไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนเว็บไซต์ด้วยโปรแกรมภาษา หรือโปรแกรมสำเร็จรูปใดๆ เลยก็ย่อมได้ สามารถปรับแต่ง แก้ไขได้ง่าย บนหน้าจอ ณ เวลานั้นเลย แต่หากจะมีความรู้เรื่องภาษา Html ก็จะยิ่งดีมากๆ เพื่อช่วยในการปรับแต่งในขั้นลึกยิ่งขึ้น...
ประโยชน์ของ Blog นั้นมีมากมาย กว้างขวางยิ่งกว่า ไดอารี่ หรือบันทึกส่วนตัวทั่วๆ ไป

ประโยชน์ของ Blog สามารถแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1. เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อเสนอให้ผู้คน สาธารณะได้รับรู้
2. เป็น เครื่องมือช่วยในด้ารธุรกิจ เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวขององค์กร การเสนอตัวอย่างสินค้า การขายสินค้า และการทำการตลาดออนไลน์ เป็นต้น
3. เป็นแหล่งความรู้ ใหม่ๆ ที่ถูกต้องและชัดเจน จากผู้มีความรู้เฉพาะด้านๆ นั้น เนื่องจากผู้เขียน Blog มักจะเขียนถึงเรื่องที่ตัวเองถนัด ชอบ และมีความรู้ลึกในเรื่องนั้นๆ การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านใน Blog ต่างๆ จึงทำให้เราค้นพบความรู้ และผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น
4. ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย(ทั่วโลก) และมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ
5. และอื่นๆ อีกมากมาย

5 เทคนิคง่ายๆ ในการเขียน Blog ให้ดัง

1. คำถาม (Ask a Question) การเริ่มต้นด้วยคำถาม โดยใช้วาทศิลป์ (อันสูงส่ง) หว่านล้อม ช่วยกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็น ของผู้อ่านเป็นเรื่องธรรมดาอยู่ได้ฉันใด การเริ่มต้นด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้ผู้อ่านพัวพัน หมกมุ่น อยู่กับเรื่องราวที่ตนอยากรู้ ไปจนจบเรื่องได้ฉันนั้น (ครับ)

2. แชร์เกร็ดเล็กๆน้อยๆ (Share Tips) เรื่องนี้ต้องพึ่งประสบการณ์ (บารมี) ที่คุณมีอยู่แล้วล่ะครับ โดยดึงความรู้นั้นออกมาใช้ เผยแพร่ แนะนำให้คนอื่นรู้ด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อผู้อ่านได้อ่านเจอเรื่องราว ในรูปแบบเช่นนี้แล้ว จะยิ่งชอบ และนับถือ ชวนให้อยากติดตามผลงานเรื่องต่อไปครับ

3. ปลุกจินตนาการ (Imagine) “แม้แต่ จอห์น เลนนอน ก็ยังร้องเพลง Imagine จินตนาการว่ามวลมนุษย์ จะอยู่ กันอย่างสันติ” (เพลงคาราบาว) “นวัตกรรมใหม่เกิดจากจินตนาการที่ไม่รู้จบของมนุษย์” อย่าแปลกใจที่ผมโยงเรื่องไปมา ชวนให้วกวน ไม่มีอะไรหรอกครับ แก่นแท้มันอยู่ที่ “จินตนาการ” คำเดียวเท่านั้น แต่สรุปง่ายๆ กับได้ 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรกเขียนเรื่องราวที่อ่านแล้ว มองเห็นมโนภาพ หรือจินตนาการตามได้ อาจจะเขียนเป็นบทละครใช้ภาษาง่ายๆ เข้าใจกันได้ทุกคนก็ได้ครับ ประเด็นที่สอง คือเขียนเรื่องราวในเชิงจินตนาการ แฟนตาชี มหากาพย์ (อะไรกัน นึกว่า Pirate’s of the Caribbean) ถ้าเขียนได้ จะน่าติดตามมากๆ

John Lennon - Imagine

4. เปรียบเทียบหรืออุปมาอุปมัย (Simile or Metaphor) ลองยกตัวตัวอย่างของสิ่งของสองสิ่ง มาเปรียบเทียบกัน ถึงข้อดี ข้อเสีย ข้อเด่น และข้อด้อย กันดูสิครับ เช่นเอาเครื่องเล่น MP3 สองยี่ห้อมาเปรียบเทียบกัน จากคุณสมบัติ ราคา ฟังก์ชันในการใช้งาน วิเคราะห์เรื่องดีเรื่องเด่นออกมา เขียนเป็นเรื่องให้คนอ่าน คิดดูสิครับ จะน่าติดตามเพียงใด (อย่าใช้ในทางที่ผิดเพื่อขายสินค้า ของตนแล้วกัน)

5. อ้างถึงสถิติ (Statistic) ตัวเลขหรือข้อมูลทางสถิติ จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทำให้บทความใน Blog คุณน่าเชื่อถือขึ้นได้ ยิ่งถ้าข้อมูลนั้นเป็นที่โจษจันมากเพียงใด Blog คุณก็จะเป็นที่ยอมรับได้มากเพียงนั้น ดังนั้นแล้ว ประโยชน์สูงสุดที่ได้รับในข้อนี้ คือความน่าเชื่อถือของ Blog นั่นเองครับ

Bonus “50 คำ ตอนเริ่มบทความ มีผลต่อผู้อ่าน ว่าจะอ่านหรือไม่อ่านต่อดี” ถ้าใครเคยร่างต้นฉบับ ส่งสำนักพิมพ์คงรู้จักกันดี เพราะนี้เป็น หนึ่งในเทคนิคการเขียนบทความกันเลยทีเดียวครับ (ผมยังไม่เคย แม้แต่เรื่อง E-Book ที่เกริ่นไว้ ยังไม่ถึงไหนเลย) ตอนเริ่มขึ้นบทความใหม่ๆ ต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้อ่านอยากอ่านต่อไป และต่อไป จนจบเรื่อง ผู้อ่านก็อยากติดตาม ต่อไป และต่อไป จนจบเรื่องเหมือนกัน (ท่าดีทีดี ไม่ใช่ท่าดีทีเหลว)

Monday, September 8, 2008

คุณลักษณะครอบครัวแข็งแรง บ้านที่อบอุ่น

คุณลักษณะครอบครัวแข็งแรง

l 1. สมาชิกในครอบครัวงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ การพนัน และสิ่งเสพติด อย่างน้อยในวัน

อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันครอบครัวแข็งแรง

l 2. ครอบครัวมีสัมมาอาชีพ มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพในครอบครัว

l 3.ไม่มีความรุนแรงในครอบครัว

l 4. สมาชิกในครอบครัวมีการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 มื้อ

l 5. มีบ้านมั่นคง แข็งแรง และสะอาด

l 6. สมาชิกในครอบครัวมีการช่วยเหลืองานบ้านสม่ำเสมอ

p 7. สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสทำกิจกรรมนอกบ้านด้วยกัน อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

p 8. สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสประกอบศาสนากิจร่วมกัน อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

n 9. องค์ประกอบสมาชิกครอบครัว ประกอบด้วย สามี ภรรยา หรือ พ่อ แม่ และลูกที่ยังไม่บรรลุนิติ-

ภาวะอยู่พร้อมหน้ากัน

n 10. สมาชิกในครอบครัวเป็นที่ยอมรับของชุมชน

n 11. สมาชิกครอบครัวอยู่ร่วมกันทั้ง 3 วัย ในบ้านเดียวกันหรือบริเวณเดียวกัน

n 12. ครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยจะต้องมีกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

- ร้องเพลงกล่อมเด็กอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

- เล่านิทานให้ลูกฟังอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

- เล่นกับลูกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

- ทารกได้รับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน

หลักการอยู่ร่วมกันในครอบครัว ใน บ้านที่อบอุ่น ด้วยรัก และ เข้า ใจ

หลักการอยู่ร่วมกันในครอบครัว ใน บ้านที่อบอุ่น ด้วยรัก และ เข้า ใจ
ครอบครัวที่อบอุ่นจะ เป็นครอบครัวที่มีความสุข ทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีความรัก ความพอใจ และเกิดความภาคภูมิใจในครอบครัวตนเอง หลักการอยู่ร่วมกันในครอบครัว มีดังนี้
  1. สมาชิกทุกคน ควรปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่และภาระที่รับผิดชอบ ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน รู้จักเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน ตั้งใจปฏิบัติตนให้ดีที่สุด
  2. สมาชิกทุกคน ควรช่วยกันสร้างโอกาส หรือ จัดหาเวลาให้ได้พบปะ สนทนา ปฏิบัติงาน ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กีฬา สันทนาการ การไปท่องเที่ยวด้วยกัน เพื่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน เรียนรู้อุปนิสัยความต้องการของกันและกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความรัก ความปรารถนาดีต่อกันมากยิ่งขึ้น
  3. สมาชิกทุกคน ควรมีส่วนร่วมรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ เรื่องเงินทอง เรื่องงาน เมื่อมีปัญหาก็ปรึกษาหารือร่วมกัน คิดหาทางแก้ปัญหา หรือทำให้สภาพของครอบครัวดีขึ้น
  4. สมาชิกทุกคน ต้องรู้จักรักตนเองพอ ๆ กับรักคนอื่น โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวเดียวกันต้องรู้จักและเข้าใจนิสัยใจคอซึ่งกันและ กัน รู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งจะให้ความคิดเห็นแก่เราด้วยความรัก ความเมตตา และความปรารถนาดี รวมทั้งต้องฝึกตัวเองให้เป็นผู้รับฟังที่ดีและผู้พูดที่ดี
  5. มีการประชุม ปรึกษาตกลงแบ่งงาน โดยมอบหมายงานให้เหมาะสมกับวัยและความสามารถ เพื่อให้ผู้รับมอบหมายงานปฏิบัติได้เต็มกำลังและเต็มใจ เช่น เป็นพี่ได้รับมอบหมายให้สอนน้องทำการบ้าน ก็ควรปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มใจและเต็มความสามารถ สอนน้องทำการบ้านด้วยความรักความเมตตา
  6. สมาชิกที่ อายุน้อย อ่อนอาวุโส ควรให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโส ซึ่งมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า มีสัมมาคารวะ ประพฤติตนได้อย่างเหมาะสมกับวัยและกาลเทศะ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ช่วยเหลือดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่อยู่ในบ้าน
  7. สมาชิกทุกคนควรปฏิบัติต่อกันอย่างเป็นมิตร ทั้งกาย วาจา ใจ
  8. สมาชิกทุกคนควรให้ความช่วยเหลือเอื้ออาทร และมีน้ำใจอันดีต่อกัน ไม่นิ่งดูดาย รู้จักเสียสละตามสมควรแก่โอกาส
  9. สมาชิกทุกคนพยายามแสดงความรักในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น มอบของขวัญในวันคล้ายวันเกิด วันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ เป็นต้น

ถ้าสมาชิกในครอบครัวสามารถปฏิบัติตามแนวทางนี้ได้ ก็จะเป็นการสร้างครอบครัวให้เป็นไปตามที่สังคมคาดหวัง เป็นพลเมืองดีที่ประเทศต้องการ นอกจากนี้ ครอบครัวควรปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ได้แก่ ความเป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา มีน้ำใจ รู้จักเสียสละและ

ประโยชน์ใกล้ตัว พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน

ที่จริงแล้วผักสวนครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น โหระพา ขิง ข่า ตะไคร้ หรือใบสระแหน่ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาของความเป็นสมุนไพรไทยที่ใครได้ยินแล้วจะต้องบอกว่า สุดยอด เสมอ ว่าแล้ววันนี้ก็เลยอยากให้คุณๆ ได้รู้จักกับประโยชน์ของพืชผักสวนครัวเหล่านี้กัน

สมัย เด็กมักจะโดนคุณแม่ใช้ให้ไปเก็บพืชผักสวนครัวหลังบ้านบ่อยๆ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้ปรุงอาหารกินเอง แต่หลังจากย้ายตัวเองมาฝังตัวอยู่ที่เมืองหลวง ก็มได้มีพืชผักสวนครัวส่วนตัวไว้กินอีกเลย

• โหระพา
โหระพา เป็นผักที่มีกลิ่นแรงบางคนบอกว่าหอม บางคนว่าฉุน แต่ไม่ว่าจะหอมหรือฉุน โหระพาก็เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารไทยมานานนม รวมทั้งมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่เราเคยรู้จักเยอะเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าโหระพาจะเป็นผักชูรส และอยู่ในอาหารอย่างแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน เป็นต้น

สารอาหาร
โหระพา ที่ใครบางคนว่าฉุน ที่จริงแล้วเป็นผักที่มีสารอาหารด้วยนะ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน

สรรพคุณทางยา
คุณสมบัติ ทางยาของโหระพาท่ฃี่สุดยอดมากๆ ก็คือ ช่วยย่อยอาหารแก้การจุกเสียด แน่นท้อง เพราะสามารถช่วยขับลมในลำไส้ได้ แต่สำหรับคนที่เกลียดโหระพาเข้าไส้ คุณอาจจะแอบปลื้มที่ได้รู้ว่าผักสวนครัวอย่างโหระพาไม่ได้มีดีแค่ใบ แต่เมล็ดยังสามารถนำมาแช่น้ำให้พองรับประทานเป็นยาแก้บิดได้ด้วย

ทราบหรือไม่•โหระพา รักษาโรคเข่าเสื่อมได้ ตำราแพทย์ระบุว่าให้นำต้น ใบและรากโหระพามาตำพอละเอียด ใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไปแค่พอร้อน ทิ้งไว้ให้อุ่น จากนั้ก็นำไปพอกเข่าประมาณ 10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แล้วอาการจะค่อยทุเลาลง
•โบราณว่าโหระพาเป็นยาบำรุงทางเพศด้วยนะ



•ขิง
ขิง เป็นเครื่องเคียงอย่างหนึ่งในเมนูอาหารไทย แต่หลายคนส่ายหน้าเวลาเห็นขิง ส่วนหนึ่งก็เพราะกลิ่นแรงเหลือกำลัง ดังนั้นจึงเลี่ยงด้วยการเขี่ยขิงทิ้งไว้ข้างๆ จาน แต่ต่อไปนี้ถ้าอยากได้ประโยชน์มากมายจากอาหารการกิน ลองชิมขิงดูสักครั้ง

สารอาหาร
ขิงประกอบไปด้วยสารอาหารสำคัญคือ โปรตีน คาร์ดบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ

สรรพคุณทางยา
ประโยชน์ อย่างหนึ่งที่เราจะได้จากการใช้เหง้าขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง แล้วชงน้ำดื่มก็คือ แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด และแน่นเฟ้อ

นอกจากนี้ขิงยังมีประโยชน์ทุกส่วน ตั้งแต่
ราก – ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ และแก้บิด
ต้น – ช่วยขับให้ผายลม แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง
ผล – แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ
ใบ – แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ
ดอก – ช่วยย่อยอาหาร แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคประสาทที่ทำให้ใจขุ่นมั่ว

ทราบหรือไม่•ขิง แก้ผมร่วง ตำราระบุว่า ให้ใช้เหง้าขิงสดมาผิงไฟพออุ่น จากนั้นให้ตำแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีผมร่วง ทำแบบนี้ประมาณ 3 วัน วันละ 2 ครั้ง ถ้ายังไม่ได้ผลให้ทำต่อไป
•ขิงกำจัดกลิ่นกาย ถ้ารักษากลิ่นเหงื่อใต้วงแขนมาหลากหลายวิธีแล้วแต่ยังช่วยไม่ได้ ลองใช้เหง้าขิงแก่ โดยทุบแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทาใต้วงแขนทุกวัน จะช่วยกำจัดกลิ่นกายได้ชะงัด
•ขิงแก้ปากเหม็น โดยให้คั้นน้ำขิงผสมน้ำอุ่น เติมเกลือเล็กน้อย แล้วกลั้วปาก ฆ่าเชื่อโรค



•ข่า
ถ้า หยิบขึ้นมาเคี้ยวกันสดๆ ก็คงจะไม่ปลื้มนัก ข่าเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องเทศที่ใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวจาก เนื้อสัตว์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเอร็ดอร่อยกับเมนูโปรดอย่างต้มข่าไก่กันนัก แต่หน่อข่าอ่อนสามารถเป็นเครื่องเคียงแสนอร่อยในเมนูน้ำพริกแบบไทยๆ ได้ด้วยนะ

สารอาหาร
สารอาหารที่จะได้จากข่าคือ คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม สฃวิตามินซี

สรรพคุณทางยา
ประโยชน์ จากคุณสมบัติทางยาของข่า ให้ใช้เหง้าสดดำดให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว จะช่วยขับลมแก้มฃท้องอืด ท้องเฟ้อท้องเดิน และบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้

ทราบหรือไม่ว่า•ประโยชน์ อื่นๆ ที่ได้จากข่านอกเหนือจากการรับประทานอาหาร ได้แก่ ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนและแก้ลมพิษ โดยใช้เหง้าสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะดีขึ้น
•ใช้ข่าไล่แมลงได้ด้วย โดยนำเหง้ามาทุบหรือตำให้ละเอียด เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แมลงก็จะไม่กล้ามาแหยมอีกแล้ว

แต่งบ้านสวยช่วยโลกร้อน

ใครที่เคยชมหนังสารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth คงทราบ ดีว่าปัญหาภาวะโลกร้อนขณะนี้กำลังเข้าสู่วิกฤติการณ์ที่น่ากลัวเพียงใด ฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้ทุกอย่างสายเกินแก้ มาร่วมแรงร่วมใจช่วยรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม ต่อต้านการใช้ผลิตภัณฑ์สังเคราะห์และพลังงานสิ้นเปลืองที่ทำลายชั้นบรรยากาศ กันเถอะ โดยเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่ตัวคุณเองก่อนเป็นอันดับแรกด้วยการเลือกใช้สินค้าผลิตจากวัสดุทาง ธรรมชาติดังต่อไปนี้

1. Garden Tools ชุดอุปกรณ์ปลูกต้นไม้ขนาดจิ๋ว ใช้ตกแต่งโต๊ะรับแขกหรือโต๊ะทำงานให้สดชื่น

2. Birdhouse จัดบริเวณบ้านให้กลายเป็นสวรรค์ด้วยบ้านนกหลังเล็กๆ สำหรับเป็นที่พักพิงของนกตัวน้อย โดยไม่มีเรื่องของกรงและตาข่ายมาเกี่ยวข้อง

3. Medicine Cupboard จัดเก็บยาสามัญประจำบ้านที่จำเป็นลงในกล่องไม้ขนาดย่อม ด้านหน้าฝาตู้มีพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์ในการติดข้อความ (Short Note) กันลืมได้อีกด้วย

4. Clipboard กระดาน Memo แขวนฝาผนัง ผลิตขึ้นจากไม้เนื้อดี แข็งแรง ทนทาน มีแม่เหล็กรูปผีเสื้อสำหรับติดโน้ตเพื่อเตือนความจำ

5. ถุงผ้าเอนกประสงค์ หันมาอุดหนุนถุงผ้าสำหรับใส่ของจุกจิกกันดีกว่า ใช้งานได้ดีเทียบเท่ากล่องพลาสติก ง่ายต่อการทำความสะอาด แถมยังช่วยลดโลกร้อนอีกด้วย

10 Things You Can Do to Reduce Global Warming

  • ลดการใช้ถุงพลาสติกในการจับจ่ายซื้อของ หันมาพกถุงผ้า ช่วยโลกกันดีกว่า แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้มันจริงๆ ก็อย่าลืมนำกลับมารีไซเคิลสำหรับโอกาสต่อไปด้วยล่ะ

  • ปิดสวิทซ์หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้ จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 พันปอนด์ต่อปี

  • เปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอดประหยัดพลังงานแบบขด เพราะจะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปี

  • มอง หาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นต้น เพราะการจะได้ใบรับรองคุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์จะต้องมีการประเมินสินค้า ตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ

  • ร่วม ประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool ชักชวนเพื่อนๆ หรือ คนบ้านใกล้เรือนเคียงนั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน หรือ เลือกเดินทางจากบริการขนส่งมวลชนแทน ช่วยลดการ ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อม

  • หันมาใช้พลังงานทางเลือก เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าบางจุด

  • สร้าง นโยบาย 3Rs- Reduce, Reuse, Recycle ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ ทรัพยากรอย่างเต็มที่ เป็นการลดพลังงานในการกำจัดขยะ ลดมลพิษและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการกำจัด

  • ช่วยปลูกต้นไม้ 1 ต้น จะสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมัน

  • บริโภคเนื้อวัวให้น้อยลง ทานผัก (ปลอดสารพิษ) ให้มากขึ้น ฟาร์มเลี้ยงวัวคือแหล่งหลักในการปลดปล่อยก๊าซมีเทนสู่ บรรยากาศ

  • ร่วมกิจกรรมรณรงค์สิ่งแวดล้อมในชุมชน กระตุ้นให้เกิดการร่วมมือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

10 วิธีดูแลห้องน้ำกลางสวนแบบง่ายๆ

10 วิธีดูแลห้องน้ำกลางสวนแบบง่ายๆ

เวลาอาบน้ำคือช่วงเวลาที่ทุกคนรู้สึกสบายกายสบายใจเป็นที่สุด ห้องน้ำจึงเป็นส่วนหนึ่งที่คนรักบ้านให้ความสำคัญกับการออกแบบและตกแต่ง คราวนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำกันสำหรับบ้านที่มีห้องน้ำอยู่กลางสวน หรือมีสวนอยู่ในห้องน้ำ

1. หมั่นดูแลตัดแต่ง ส่วนที่แห้งเสียของต้นไม้ในห้องน้ำและกำจัดวัชพืชเป็นครั้งคราว รวมทั้งนำกระถางต้นไม้ออกมาตั้งภายนอกให้ได้รับแสงบ้าง
2. การใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ ทำความสะอาดผนัง พื้นสุขภัณฑ์ ควรระมัดระวังไม่ให้กระเซ็นโดนต้นไม้โดยตรง เพราะมีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อพืช
3. หากพบโรคหรือแมลง มากวนใจ ควรใช้วิธีจับออกและเด็ดส่วนที่เป็นโรคทิ้ง จากนั้นแยกออกมาดูแลภายนอกห้องน้ำ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปยังต้นอื่น สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือ ไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดโดยเด็ดขาด เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการใช้งานอย่างใกล้ชิด ควรใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากสะเดาจะปลอดภัยกว่า
4. เชื้อรา เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยสำหรับห้องน้ำที่ปลูกต้นไม้มากๆ สามารถกำจัดได้โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรา Lysol หรือ Chlorox ชุบฟองน้ำเปียกๆ เช็ดตามผนัง ชั้นวางของ สุขภัณฑ์ ทุก 2-3 เดือน
5. วัสดุปลูกต้นไม้ มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นในห้องน้ำ ควรผสมถ่านลงไปในวัสดุปลูกเพื่อช่วยดูดกลิ่น และใช้วัสดุที่ช่วยระบายน้ำได้ดีเพื่อลดความชื้นและการสะสมโรคต่างๆ
6. ตะไคร่ ที่มักพบตามผนัง กรวด และส่วนต่างๆ ของห้องน้ำ หลังจากทำความสะอาดแล้วต้องทำให้บริเวณนั้นแห้งมากที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดซ้ำ และควรใช้น้ำยาลดการจับตัวของตะไคร่ร่วมด้วย
7. กระถางต้นไม้ ที่วางในห้องน้ำควรมีพลาสติกหรือจานรองที่ก้นกระถางเสมอ เพื่อป้องกันเศษดินกระจายเลอะเทอะและควรโรยกรวดที่โคนต้นไม้เพื่อป้องกันดิน กระเซ็นออกมา ควรหมั่นนำตะแกรงที่ใช้ดักเศษตะกอนต่างๆ ออกมาทำความสะอาดเสมอเพื่อลดการอุดตันของท่อระบายน้ำ
8. โครงสร้างในห้องน้ำที่ทำด้วยไม้ ควรทาน้ำยาเคลือบผิวไม้เพื่อป้องกันการผุ และหมั่นนำของใช้ที่ทำให้เกิดความชื้น เช่น ผ้าปูพื้นออกผึ่งให้แห้งเสมอ
9. คราบสบู่ที่ติดตามใบไม้ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาด จากนั้นใช้สารเคลือบใบให้ใบมันและลื่นเพื่อลดการจับตัวของคราบต่างๆ
10. หากพบการรั่วซึม ที่เกิดบนพื้น แต่ไม่ทราบตำแหน่งแน่ชัด ให้ใช้ซิลิโคนอุดตามตำแหน่งที่พบ

การดูแลรักษาเครื่องทำ น้ำอุ่น

การดูแลรักษาเครื่องทำ น้ำอุ่น คร้าบ!!


1. อย่างอ หรือพับสายฝักบัว เพราะจะทำให้สายฝักบัวชำรุดได้
2. หมั่นเช็ดทำความสะอาดฝักบัว เพราะอาจมีตะกรันไปอุดตันทางออกของน้ำ
3. หมั่นตรวจเช็คสวิตช์ป้องกันกันไฟรั่วไฟดูด (ELCB) อย่างน้อยเดือนละครั้ง
4. ก่อนทำความสะอาดเครื่อง ต้องปิดเบรกเกอร์ควบคุมไฟฟ้าทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย
5. การทำความสะอาดภายนอกตัวอาดเครื่องควรใช้ผ้านุ่มชุบน้ำบิดให้แห้ง แล้วเช็ดทำความสะอาด
6. อย่านำผ้าเปียกชุ่มน้ำไปเช็ดทำความสะอาด หรือฉีดพ่นน้ำที่ตัวเครื่อง เพราะอาจทำให้เกิดไฟช็อตได้

ประโยชน์ของเครื่องทำน้ำอุ่น



ใครที่ชอบอาบน้ำอุ่น จากเครื่องทำอุ่น รู้ไมว่ามีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์ของเครื่องทำน้ำอุ่นมาบอกกัน...

* กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การอาบน้ำอุ่นเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้อาบ สายน้ำอุ่น ณ อุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ให้สูบฉีดไปทั่วร่างกาย
* การอาบน้ำอุ่นช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และเกิดการตื่นตัว ช่วยรักษาบรรเทาความปวดเมื่อย และความตึงเครียดของกล้ามเนื้อตามร่างกาย
* ปราศจากสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน การอาบน้ำในอุณหภูมิที่พอเหมาะ จะช่วยรักษาผิวพรรณ ชะล้างไขมันบนผิวหนัง และทำความสะอาดลึกถึงรูขุมขนได้ดีกว่า
* เพิ่มความสดชื่น คืนความกระปรี้กระเป่า เพราะสายน้ำอุ่นจะลดประจุบวก และเพิ่มประจุลบรอบข้างในอากาศขณะอาบน้ำช่วยทำให้คุณ หายใจได้คล่องขึ้น รู้สึกสดชื่นภายหลังจากอาบน้ำ รู้อย่างนี้แล้ว หันมาอาบน้ำอุ่นกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี.

วิธีประหยัดพลังงานไฟฟ้าในบ้าน

วิธีประหยัดพลังงานไฟฟ้าในบ้าน
โทรทัศน์
  1. ต้องเริ่มมาจากการซื้อโทรทัศน์ ควรเลือกโทรทัศน์ให้เหมาะสมกับขนาดและความจำเป็น ถ้าซื้อขนาดใหญ่มาก ก็กินไฟมาก
  2. ปัญหาที่พบในแทบทุกบ้าน ก็คือความต้องการชมรายการโทรทัศน์ ที่ไม่ตรงกัน ต่างคนก็ต่างความชอบ แบบนี้ก็ลองเปลี่ยนทัศนคติใหม่ลองปรับตัวเข้าหากัน ชมรายการเดียวกันบ้าง คุณอาจได้อะไรดีๆจากรายการที่ไม่เคยดู นอกจากจะประหยัดแล้วสร้างความอบอุ่นในครอบครัวด้วยนะ
  3. ถ้าหากคุณเบื่อที่จะชมรายการโทรทัศน์ เปลี่ยนช่องไปแล้วก็เปลี่ยนช่องมา ก็ปิดซะเถอะครับ! หาเวลามาออกกำลังกายบ้าง นอกจากจะประหยัดพลังงานชาติแล้ว ยังเป็นการดูแลสุขภาพตัวเราเองด้วย
  4. ที่สำคัญก่อนออกไปข้างนอก หรือไปทำธุระที่ไหน ก็อย่าลืมปิดสวิตซ์และถอดปลั๊ก โทรทัศน์ของคุณเพื่อประยัดพลังงานแถมยังช่วยป้องกันอุบัติภัยที่เกิด จากกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย
ตู้เย็น
  1. ก่อนเลือกซื้อต้องคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย ว่านำมาใช้งานแบบใดเพื่อจะได้เลือกขนาดของตู้เย็นได้เหมาะสม เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาตู้เย็นที่งานหนักมากเกินไป และสิ้นเปลืองพลังงาน
  2. ไม่นำอาหารที่ร้อนๆ เข้าไปแช่ในตู้เย็น ยิ่งร้อนมาก ก็เปลืองไฟมาก
  3. ไม่เปิดตู้เย็นบ่อยๆ หรือเปิดค้างไว้นานๆ ถ้าหากตู้เย็นสูญเสียความเย็นมากเกินไป ด้วยระบบก็จะต้องทำความเย็นให้เท่ากับค่าของอุณหภูมิที่คุณได้ตั้งเอาไว้
  4. อย่าแช่อาหาร มากจนเกินไป เพราะตู้เย็นของคุณก็จะต้องทำงานหนักทำให้สิ้นเปลืองพลังงานนะครับ
  5. หากตู้เย็นของท่านใช้มานานพอสมควร ก็ควรตรวจสภาพจาก ขอบยางบริเวณประตู หรือการเติมน้ำยาทำความเย็น ก็จะช่วยประหยัดพลังงานและช่วยยืดอายุการใช้งานไปด้วย (วิธีทดสอบขอบยาง นำกระดาษมาวางไว้ที่ขอบประตู แล้วปิด หลังจากนั้นขยับกระดาษขึ้น-ลง ถ้ากระดาษเลื่อนขึ้น-ลงได้ คุณต้องเปลี่ยนขอบยางใหม่แล้วละครับ)
เรื่องของการประหยัดพลังงาน ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เตรียมพบกับ การประยัดพลังงานเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้า(เพิ่มเติม) กับ Mr.TipMan ที่จะช่วยให้คุณสามารถ ลดค่าใช้จ่าย ควบคู่ไปกับการ
ประหยัดพลังงานชาติครับ...

วิธีประหยัดน้ำภายในบ้าน

วิธีประหยัดน้ำภายในบ้าน
  1. เลือกวัสดุและอุปกรณ์ที่ สามารถช่วยให้คุณมีส่วนร่วมในการประหยัดน้ำ พร้อมไปกับการลดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน โดยการเลือกใช้อุปกรณ์ ก๊อกน้ำ สุขภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติ ช่วยในการประหยัดเป็นพิเศษ และที่โฮมเวิร์ค มีให้เลือกตามแบบที่คุณต้องการ พร้อมบริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
  2. ที่สำคัญควรหมั่นตรวจเช็ค วาล์ว ข้อต่อ ลูกยาง หรือรอยรั่วบริเวณท่อส่งน้ำ หากพบว่าชำรุด และคุณสามรถซ่อมแซม ได้เอง ก็สามารถเลือกซื้อวัสดุ อุปกรณ์ ได้ที่ร้านโฮมเวิร์ค ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

Wednesday, September 3, 2008

เรื่อง ฮวงจุ้ย.."บ้านทาวน์เฮ้าส์".. (1)

"บ้านทาวน์เฮ้าส์ ในทางฮวงจุ้ยถือเป็นลักษณะบ้านที่ไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัย"
ฟัง แค่นี้ อย่าเพิ่งตกอกตกใจไปเสียก่อนล่ะครับ เหตุผลที่พูดเช่นนั้นก็เพราะ บ้านทาวน์เฮ้าส์ มีลักษณะที่ไม่ต่างไปจากตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์มากนัก เป็นลักษณะห้องติดกันเป็นล็อคๆ ในทางฮวงจุ้ยถือว่าเป็นบ้านไม่สมประกอบ เพราะไม่มีหน้าต่างด้านข้าง นั่นเอง
บ้านที่ไม่มีหน้าต่าง ก็จะก่อสภาพอุดตันได้ง่าย ก็อย่างที่ผมเน้นย้ำกันอยู่เสมอว่า หลักฮวงจุ้ยจะเน้นเรื่องความสมดุล (หยิน-หยาง) เป็นเรื่องใหญ่ บ้านทาวน์เฮ้าส์จึงถูกมองว่า เป็นบ้านที่ไม่ถูกฮวงจุ้ย เพราะการหมุนเวียนของอากาศภายในบ้านจะสู้บ้านเดี่ยวที่มีหน้าต่างรอบบ้านไม่ ได้
เรื่องลม ในทางฮวงจุ้ยถือว่าสำคัญมาก บ้านไหนถ้าขาดลม หรือไม่มีลมพัดเข้าบ้าน บ้านนั้นก็ขาดโชคลาภ สุขภาพของคนในบ้านก็ไม่ดี เพราะฉะนั้น บ้านทาวน์เฮ้าส์ที่มีกำแพงตันถึง 2 ด้าน โอกาสที่บ้านจะขาดลมก็มีมาก การเลือกซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์ จึงต้องเน้นเรื่องของทิศทางลมเป็นสำคัญ
ทิศเหนือ-ใต้ เป็นทิศที่เหมาะกับบ้านทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด เพราะเป็นทิศทางลมโดยตรง ถ้าบ้านทาวน์เฮ้าส์อยู่ในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของแดด นอกจากจะอับลมแล้ว แถมยังร้อนอีกต่างหาก ใครที่กำลังคิดจะซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์อยู่ตอนนี้ อย่าลืมดูทิศกันด้วยล่ะ เอาบ้านที่อยู่ทางทิศลมไว้ก่อน
โดยเฉพาะบ้านที่หันหน้าทางทิศ ใต้ น่าจะดีที่สุด เพราะลมจะมาทางทิศใต้เป็นส่วนใหญ่ประมาณ 9 เดือน ที่เหลือลมจะมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ฤดูหนาว) ลมเข้าหน้าบ้านดีกว่าเข้าหลังบ้าน เพราะหลังบ้านส่วนใหญ่จะมีบ้านหลังอื่นบังลมเอาไว้ ยกเว้นว่าหลังบ้านโล่ง อาจเลือกบ้านหันหน้าทิศเหนือ หลังบ้านเป็นทิศใต้ได้
อย่าลืมว่า บ้านทาวน์เฮ้าส์ มีจุดที่ลมพัดเข้าบ้านได้เพียง 2 จุดเท่านั้นคือ หน้าบ้านกับหลังบ้าน ข้างบ้านหมดสิทธิ์ (ยกเว้นทาวน์เฮ้าส์หลังมุม) เมื่อเรารู้ว่าทางลมมาทางด้านไหน ก็อย่าเอาอะไรไปบังทางลมเด็ดขาด นี่เป็นข้อห้ามที่หลักฮวงจุ้ยให้ความสำคัญมากที่สุด

"ทาวน์เฮ้าส์กว่า 80 เปอร์เซนต์มีการต่อเติมด้านหลัง"
จาก ผลสำรวจของผมเองที่ไปดูบ้านทาวน์เฮ้าส์มาเยอะมาก เหตุผลก็เพราะ ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และนิยมต่อเติมแบบเต็มพื้นที่ประเภทติดรั้วด้านหลัง ทำเป็นห้องครัวกันเป็นส่วนใหญ่ การทำในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการฝืนกฎเกณฑ์ในทางฮวงจุ้ยอย่างมาก เพราะเท่ากับปิดทางลมของบ้าน เหลือทางลมเพียงด้านหน้าบ้านอย่างเดียว ธรรมชาติของลมจะต้องมีทางเข้าและทางออก ถ้าเข้าอย่างเดียวไม่มีจุดดูดลมออก ลมก็ไม่สามารถหมุนเวียนเข้าไปข้างในบ้านได้ พัดผ่านเฉพาะหน้าบ้านเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่หลายคนยังไม่เข้าใจ การต่อเติมด้านหลังจนทึบ จะก่อสภาพอุดตันขึ้นภายในบ้านทันที

ทาวน์เฮ้าส์ ที่หลังบ้านปล่อยโล่ง จะมีการหมุนเวียนของลมภายในบ้านได้ดีกว่า ทาวน์เฮฺ้าส์ที่มีการต่อเติมด้านหลังบ้านจนเต็มพื้นที่ ลมไม่สามารถหมุนเวียนเข้าไปภายในบ้านได้

การ ต่อเติมด้านหลังที่ถูกต้องจึงไม่ควรต่อเต็มพื้นที่ อาจเว้นที่โล่งไว้บางส่วน เพื่อให้มีช่องลม หรือไม่ก็ต่อเติมแบบใช้เพียงหลังคากั้นสาด คือ ต่อเติมแบบโปร่ง ไม่มีผนังปูนก่อเป็นกำแพงทึบ ก็จะถือว่าถูกต้อง บ้านไม่เสียช่องลมไป การหมุนเวียนของอากาศภายในบ้านก็จะอยู่ในสภาพที่สมดุล
"ถ้าเกิดมีการต่อเติมไปแล้วจะแก้ไขอย่างไร..?"
วิธี แก้ก็คือ เจาะช่องดูดอากาศ หรือทำหลังคาแบบเปิด-ปิดได้ เพื่อให้มีการระบายอากาศได้ดี ยิ่งถ้าทำเป็นห้องครัวด้วยแล้ว ทั้งกลิ่นทั้งควันจะอบอวนอยู่ในบ้าน การเจาะช่องลมถือว่าสำคัญมาก จำเป็นจะต้องทำเลยทีเดียว
นอกจากด้านหลังบ้านที่กลัวอุดตันแล้ว ด้านหน้าบ้านเองก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน การต่อหลังคาทำเป็นโรงรถด้านหน้า ก็เป็นที่นิยมทำกันมาก เพราะหลีกเลี่ยงยากที่จะไม่ทำสำหรับคนที่มีรถทั้งหลาย การทำโรงรถจึงถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะปิดกั้นลมได้ ถ้ามีความจำเป็นจริงๆที่จะต้องทำ ผมแนะนำให้ทำหลังคาโรงรถให้สูงกว่าปกติหน่อย อย่าทำหลังคาที่กดต่ำ เพราะจะเป็นตัวบังลมอย่างดี

หลังคาโรงรถที่กดต่ำจะสกัดกั้นลมไม่ให้ไหลเข้าบ้านได้ ควรทำหลังคาให้สูงเพื่อเปิดทางลมเข้าบ้าน

เริ่ม จะมองเห็นถึงผลเสียของการอยู่บ้านทาวน์เฮ้าส์แล้วสิครับ นี่แค่เรื่องลมเรื่องเดียวนะครับ ผมยังไม่ได้พูดถึงประเด็นอื่นๆที่มีผลกระทบต่อคนที่อยู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ เช่น ห้องส้วม ที่เป็นปัญหามาก ชนิดที่แก้กันไม่ตก การจัดและวางข้าวของภายในบ้าน ที่ทำค่อนข้างจะยาก คงต้องเอาไว้อ่านต่อกันตอนหน้าครับ?

++*-*นู๋ออย*-*++ View my profile Previous * 4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเซ็ตอัพระบบเครือข่ายไร้สายภายในบ้าน

4 ขั้นตอนสำหรับสร้างระบบเครือข่ายไร้สาย

    1. เลือกอุปกรณ์ระบบไร้สาย
    2. เชื่อมต่อราวเตอร์ไร้สาย
    3. ปรับแต่งตัวแรเตอร์ไร้สาย
    4. เชื่อต่อคอมพิวเตอร์ของคุณ

ถ้าหากคุณเป็นผู้ใช้ Windows XP คุณไม่จำเป็นต้องมี Windows XP Service Pack 2 เพื่อใช้รองรับการทำงานของระบบเครือข่ายไร้สายแต่อย่างใด แต่ถ้าหากคุณมี SP2 มันจะช่วยให้งานต่างๆง่ายขึ้นอย่างมาก นอกจากนั้น Service Pack 2 ยังช่วยปกป้องคุณจากแฮกเกอร์ เวิร์ม และผู้บุกรุกอื่นๆจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วย วิธีการติดตั้ง Service Pack 2 ให้เข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ Protect Your PC

1.เลือกอุปกรณ์ระบบเครือข่ายไร้สาย
ขั้นตอนแรกก็คือตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีอุปกรณ์ต่างๆที่คุณ จำเป็นต้องใช้แล้ว โดยในขณะที่คุณเลือกซื้ออุปกรณ์จากร้านค้าหรืออินเทอร์เน็ต คุณอาจสังเกตเห็นว่าคุณสามารถเลือกอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานกับเทคโนโลยี ระบบเครือข่ายไร้สายที่แตกต่างกัน 3 ชนิดก็คือ 802.11a, 802.11b และ 802.11g เราขอแนะนำให้คุณเลือกเทคโนโลยี 802.11g เนื่องจากมันมีประสิทธิภาพที่ดีมาก แถมยังคอมแพตทิเบิลกับอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมดด้วย

รายการสิ่งของที่จำเป็นต้องซื้อ

  • ระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ตแบบบอร์ดแบนด์
  • ราวเตอร์ไร้สาย
  • คอมพิวเตอร์ที่มีการติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในตัวหรือติดตั้งอะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สายลงไปได้
  • ราวเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สาย

ราวเตอร์ชนิดนี้แปลงสัญญาณที่ได้รับมาจากระบบสื่อสารอิน เทอร์เน็ต ให้อยู่ในสภาพของการส่งสัญญาณแบบไร้สาย เหมือนกับตัวฐานของโทรศัพท์ไร้สาย คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณซื้อราวเตอร์ไร้สายมา ไม่ใช่จุดติดต่อไร้สาย

อะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สาย
อะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สายใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของคุณกับราวเตอร์ไร้ สาย ถ้าหากคุณมีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ คุณอาจมีระบบสื่อสารไร้สายในตัวเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นแบบนี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องซื้ออะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สายอีก ถ้าหากคุณต้องการซื้ออะแดปเตอร์มาใส่กับพีซี คุณจำเป็นต้องซื้ออะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สายแบบ USB ถ้าหากคุณมีโน้ตบุก คุณต้องซื้ออะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สายในรูปของพีซีการ์ด คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณซื้ออะแดปเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ อยู่ในระบบเครือข่ายแล้ว


หมายเหตุ: เพื่อช่วยให้การเซ็ตอัพง่ายขึ้น คุณควรเลือกอะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายซึ่งผลิตโดยผู้ค้ารายเดียวกับที่ผลิตราว เตอร์ระบบเครือข่ายไร้สาย ตัวอย่างเช่นถ้าหากคุณเจอราวเตอร์ของบริษัท Linksys ในราคาที่คุณพอใจ คุณควรเลือกซื้ออะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สายของผลิตภัณฑ์ Linksys ตามไปด้วย ถ้าหากคุณต้องการทำให้การชอปปิงของคุณง่ายขึ้นไปอีก คุณควรซื้ออุปกรณ์ชุดรวมอาทิเช่นอุปกรณ์ของบริษัท D-Link, Netgear, Linksys, Microsoft และ Buffalo เป็นต้น ถ้าหากคุณมีพีซี คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีพอร์ต USB เหลือสำหรับเสียบต่ออะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายไร้สายลงไปด้วย ถ้าหากคุณไม่มีพอร์ต USB เหลือ คุณต้องซื้อฮับเพื่อทำให้มีพอร์ต USB เพิ่มขึ้น

2.เชื่อมต่อราวเตอร์ไร้สาย
เนื่องจากคุณไม่อาจเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ชั่วคราว คุณควรพิมพ์คำสั่งในช่วงต่อไปเก็บเอาไว้ก่อนที่คุณจะทำอะไรต่อไป

ขั้นต่อมาเชื่อมต่อราวเตอร์ไร้สายกับโมเด็ม ซึ่งโมเด็มของคุณควรเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง จากนั้นหลังจากที่คุณเชื่อมต่อทุกอย่างกลับคืนแล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณจะสื่อสารแบบไร้สายกับราวเตอร์ได้ จากนั้นราวเตอร์จะส่งการสื่อสารทุกอย่างผ่านโมเด็มไปยังอินเทอร์เน็ต

ขั้นต่อมาเชื่อมต่อราวเตอร์กับโมเด็ม

หมายเหตุ: คำสั่งด้านล่างใช้ได้กับราว เตอร์ไร้สายของ Linksys พอร์ตซึ่งติดอยู่ในราวเตอร์อาจจะติดป้ายที่แตกต่างกันออกไป และภาพที่เราแสดงอยู่นี้อาจจะแตกต่างจากราวเตอร์ของคุณเอง คุณต้องอ่านคู่มือที่ให้มาพร้อมกับตัวอุปกรณ์เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

  • ถ้าหากคุณมีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อโดย ตรงกับโมเด็มอยู่แล้ว ให้ถอดสายเคเบิลระบบเครือข่ายออกจากด้านหลังของคอมพิวเตอร์ แล้วต่อสายไปยังพอร์ตที่เขียนว่า Internet, WAN หรือ WLAN ซึ่งอยู่ด้านหลังราวเตอร์

  • ถ้า หากคอมพิวเตอร์ของคุณยังไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ให้คุณเสียบต่อปลายด้านหนึ่งของเคเบิลระบบเครือข่าย (ซึ่งให้มาพร้อมกับราวเตอร์) ไปยังโมเด็ม แล้วเสียบต่อปลายสายอีกด้านหนึ่งไปยังพอร์ต Internet, WAN หรือ WLAN ที่อยู่ด้านหลังราวเตอร์ไร้สาย

  • ถ้า หากในตอนนี้คุณมีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับราวเตอร์อยู่แล้ว ให้ถอดสายเคเบิลที่เชื่อมต่อกับพอร์ต Internet, WAN หรือ WLAN จากราวเตอร์ปัจจุบันที่คุณใช้อยู่ออก จากนั้นเสียบต่อสายเคเบิลไปยังพอร์ต Internet, WAN หรือ WLAN ของราวเตอร์ไร้สาย จากนั้นถอดสายเคเบิลระบบเครือข่ายเส้นอื่นๆ เพื่อนำไปเสียบต่อยังพอร์ตที่เหลือของราวเตอร์ไร้สาย คุณไม่จำเป็นต้องใช้ราวเตอร์ที่มีอยู่เดิมอีกต่อไป เนื่องจากราวเตอร์ไร้สายตัวใหม่จะมาทำงานแทนแล้ว

3.ปรับแต่งตัวแปรของราวเตอร์ไร้สาย

ใช้เคเบิลระบบเครือข่ายซึ่งให้มาพร้อมกับราวเตอร์ไร้สายของ คุณ เพื่อช่วยให้คุณเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับพอร์ตที่ร่างในราวเตอร์ไร้สายได้ได้ ชั่วคราว (พอร์ตใดๆก็ได้ที่ไม่ได้ติดป้ายว่า Internet, WAN หรือ WLAN) ถ้าหากจำเป็น คุณสามารถเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา จากนั้นคอมพิวเตอร์น่าจะเชื่อมต่อกับราวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติ

ขั้นต่อมา เปิด Internet Explorer ขึ้นมาแล้วพิมพ์แอดเดรส เพื่อปรับแต่งตัวแปรของราวเตอร์

ระบบอาจจะขอให้คุณใส่รหัสผ่านลงไป แอดเดรสและรหัสผ่านที่คุณใช้จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับประเภทของราวเตอร์ ที่คุณใช้อยู่ ดังนั้นคุณควรอ่านคำสั่งที่ให้มาพร้อมกับราวเตอร์โดยละเอียด

ตารางด้านล่างใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อแสดงแอดเดรส ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่านของผู้ผลิตราวเตอร์พื้นฐานบางราย


Router Address Username Password
3Com http://192.168.1.1 admin admin
D-Link http://192.168.0.1 admin
Linksys http://192.168.1.1 admin admin
Microsoft Broadband http://192.168.2.1 admin admin
Netgear http://192.168.0.1 admin Password

Internet Explorer จะแสดงเพจปรับแต่งตัวแปรของราวเตอร์ การใช้ตัวแปรเริ่มต้นปกติก็น่าจะใช้ได้แล้ว แต่คุณควรปรับแต่งตัวแปร 3 อย่างดังนี้

1.ชื่อระบบเครือข่ายไร้สายของคุณเอง (ปกติก็คือ SSID) ชื่อนี้ใช้แยกแยะระบบเครือข่ายของคุณเอง คุณควรตั้งชื่อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เพื่อนบ้านของคุณไม่ได้ใช้อยู่

2.ระบบ Wireless encryption (WEP) หรือ Wi-Fi Protected Access (WPA) จะช่วยปกป้องระบบเครือข่ายไร้สายของคุณได้ ซึ่งราวเตอร์ส่วนใหญ่จะกำหนดให้คุณใส่รหัสผ่านที่ราวเตอร์จะนำไปใช้เพื่อ สร้างคีย์หลายๆชนิดขึ้นมา คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ารหัสผ่านมีความยาวมากพอจะไม่ซ้ำใคร (คุณไม่จำเป็นต้องจำรหัสผ่านดังกล่าว)

3.รหัสผ่านสำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งใช้ควบคุมระบบเครือข่ายแบบไร้สายของคุณเอง สิ่งที่เหมือนกับรหัสผ่านอื่นๆ ก็คือคำๆนั้นไม่ควรเป็นคำที่คุณเจอในพจนานุกรม และควรเป็นการผสมผสานระหว่างตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์ต่างๆ คุณต้องจำรหัสผ่านนี้ให้ได้ เนื่องจากคุณจำเป็นต้องใช้รหัสผ่านดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวแปรของราวเตอร์ในอนาคต

ขั้นตอนที่ใช้ปรับแต่งตัวแปรเหล่านี้จะแตกต่างกันออกไปขึ้น อยู่กับประเภทของราวเตอร์ที่คุณใช้อยู่ ซึ่งหลังจากที่คุณปรับแต่งตัวแปรเสร็จแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณคลิก Save Setting, Apply หรือ OK เพื่อเซฟการเปลี่ยนแปลงเอาไว้แล้ว

ในตอนนี้คุณสามารถถอดสายเคเบิลระบบเครือข่ายออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณได้แล้ว

4.เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของคุณ
ถ้าหากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่มีบริการระบบเครือข่ายไร้สายใน ตัว คุณต้องเสียบต่ออะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายเข้าหาพอร์ต USB จากนั้นติดตั้งเสาอากาศลงไปด้านบนสุดของคอมพิวเตอร์ (ในกรณีของพีซี) หรือใส่อะแดปเตอร์ระบบเครือข่ายลงไปในสล็อทพีซีการ์ดที่ว่าง (ในกรณีของโน้ตบุก) Windows XP จะแยกแยะอะแดปเตอร์ใหม่ให้โดยอัตโนมัติ และอาจจะขอให้คุณใส่ซีดีซึ่งให้มาพร้อมกับอะแดปเตอร์ของคุณด้วย คำสั่งบนหน้าจอจะแนะนำวิธีการปรับแต่งตัวแปรให้เอง

หมายเหตุ: ขั้นตอนด้านล่างใช้สำหรับผู้ที่ ใช้ Windows XP Service Pack 2 เท่านั้น ถ้าหากคุณใช้ Windows XP และยังไม่มี Service Pack 2 ให้เสียบต่อคอมพิวเตอร์กับราวเตอร์ไร้สาย จากนั้นทำการดาวน์โหลดและติดตั้ง Service Pack 2 จากเว็บไซต์ Protect Your PC




Windows XP ควรแสดงไอคอนพร้อมแจ้งให้ทาบว่าเจอระบบเครือข่ายไร้สายแล้ว

ปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับระบบเครือข่ายไร้สาย

1.คลิกเม้าส์ปุ่มขวาที่ไอคอนระบบเครือข่ายไร้สาย ไอคอนนี้อยู่ตรงมุมขวาล่างของหน้าจอ จากนั้นคลิกที่ View Available Wireless Networks ถ้าหากคุณเจอปัญหาใดๆ ให้คุณอ่านคู่มือที่ให้มาพร้อมกับอะแดปเตอร์ระบบเครือข่าย หรือโทรหาฝ่ายบริการทางด้านเทคนิคก็ได้

2.วินโดวส์ Wireless Network Connection น่าจะโผล่ขึ้นมา และคุณควรมองเห็นรายการบ้านระบบเครือข่ายไร้สายแสดงขึ้นมาพร้อมกับรายชื่อ ระบบเครือข่ายที่คุณเลือกเอาไว้ ถ้าหากคุณมองไม่เห็นชื่อระบบเครือข่ายของคุณเอง คลิก Refresh network list ซึ่งอยู่บริเวณมุมซ้ายบน คลิกชื่อระบบเครือข่ายของคุณ จากนั้นคลิก Connect ซึ่งอยู่ที่มุมขวาล่าง

3.Windows XP จะขอให้คุณใส่รหัส ให้คุณพิมพ์รหัสผ่านที่คุณใส่ไปก่อนหน้านี้ในกรอบ Network key และ Confirm network key จากนั้นคลิก Connect

4.Windows XP จะแสดงสถานภาพขณะที่มันเชื่อมต่อไปยังระบบเครือข่ายของคุณ หลังจากที่คุณเชื่อมต่อได้แล้ว ให้คุณปิดวินโดวส์ Wireless Network Connection ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน

หมายเหตุ: ถ้าหากวินโดวส์ Wireless Network Connection ยังค้างอยู่แล้วขอให้คุณใส่ Acquiring Network Address นั่นหมายความว่าคุณใส่รหัสผ่านผิด